Browse By

Tag Archives: football

บรูโน่ แฟร์นันด์ส ไม่มีแผนย้ายออกจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดช่วงนี้กำลังได้รับความสนใจจากแฟนบอลทั่วโลก หลังมีรายงานยืนยันจากหลายสื่อในอังกฤษว่า บรูโน่ แฟร์นันด์ส กัปตันทีมคนสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่มีแผนที่จะย้ายออกจากสโมสรในช่วงซัมเมอร์นี้ ท่ามกลางข่าวลือหนาหูที่เชื่อมโยงเขากับหลายทีมใหญ่ในยุโรปและซาอุดิอาระเบีย โดยดาวเตะชาวโปรตุกีสยังคงยืนยันความมุ่งมั่นที่จะพาปีศาจแดงกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวออกมาว่า บรูโน่กำลังพิจารณาอนาคตของตัวเอง เนื่องจากผิดหวังกับผลงานของทีมในฤดูกาลก่อน รวมถึงความไม่แน่นอนในทิศทางของสโมสรหลังมีการเปลี่ยนแปลงในระดับผู้บริหาร แต่ล่าสุดสื่อ รายงานตรงกันว่า บรูโน่ยังคงมีความสุขในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด และไม่มีความคิดที่จะย้ายออกไปในเร็ว ๆ นี้ โดยเจ้าตัวตั้งใจจะอยู่ช่วยทีมอย่างน้อยจนจบสัญญาในปี 2027 บรูโน่ แฟร์นันด์ส ย้ายจากสปอร์ติง ลิสบอน มาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเมื่อเดือนมกราคมปี 2020 และนับตั้งแต่นั้น เขาก็กลายเป็นหัวใจของทีมในทันที ด้วยผลงานที่โดดเด่นทั้งในแง่ของการสร้างสรรค์เกมและการทำประตู เขายิงให้ทีมไปแล้วกว่า 80 ประตูจากการลงสนามมากกว่า 200 นัด พร้อมทำอีกเกือบ 70 แอสซิสต์ ถือเป็นสถิติที่ยอดเยี่ยมสำหรับกองกลางตัวรุกในพรีเมียร์ลีก แฟนบอลในชุมชนของ

โบโลญญ่า เตรียมนัดคุย ฮอน ลูซูมี่ เรื่องต่อสัญญาใหม่

กระแสข่าวในอิตาลีกำลังจับตาความเคลื่อนไหวของ โบโลญญ่า สโมสรที่กำลังสร้างชื่อขึ้นมาเป็นทีมม้ามืดแห่งศึกกัลโช่ เซเรีย อา หลังจากมีรายงานว่า สโมสรเตรียมนัดพูดคุยกับ ฮอน ลูซูมี่ กองหลังตัวหลักของทีม เพื่อเจรจาเรื่องการต่อสัญญาฉบับใหม่ในเร็ว ๆ นี้ โดยถือเป็นความพยายามของสโมสรในการรั้งตัวผู้เล่นคนสำคัญไว้ท่ามกลางความสนใจจากหลายทีมใหญ่ทั้งในอิตาลีและต่างประเทศ ฮอน ลูซูมี่ ถือเป็นหนึ่งในกองหลังที่ทำผลงานโดดเด่นที่สุดของโบโลญญ่าในฤดูกาลนี้ และมีส่วนสำคัญในการพาทีมทำผลงานเหนือความคาดหมายในลีกภายใต้การคุมทีมของ ลูก้า ม็อตต้า กุนซือหนุ่มไฟแรงที่สร้างสไตล์การเล่นที่สมดุลระหว่างเกมรุกและเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยม ความนิ่ง ความแข็งแกร่ง และความสามารถในการอ่านเกมของลูซูมี่ ทำให้เขากลายเป็นกำลังหลักที่ขาดไม่ได้ของทีม และสโมสรเองก็ตระหนักดีว่าการรักษาเขาไว้คือหัวใจสำคัญของความต่อเนื่องในอนาคต รายงานจาก La Gazzetta dello Sport ระบุว่า โบโลญญ่าเตรียมเปิดโต๊ะเจรจากับตัวแทนของนักเตะภายในสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายสัญญาออกไปจนถึงปี 2029 จากเดิมที่จะหมดลงในปี 2026 ซึ่งจะมาพร้อมกับการปรับค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นราว 2.5 ล้านยูโรต่อปี เพื่อสะท้อนถึงผลงานและความสำคัญของเขาในทีม การเจรจาครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยยืนยันทิศทางของสโมสรที่ต้องการสร้างทีมระยะยาวแทนการขายผู้เล่นออกไป แฟนบอลจำนวนมากต่างชื่นชมความมุ่งมั่นของโบโลญญ่าในการพัฒนาโครงสร้างทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเพิ่งผ่านฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมจนได้สิทธิ์ไปเล่นในศึกยุโรป

เชลซี ไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ด้วยการฝีมือของ โรเบิร์ต ซานเชซ

ในฤดูกาลที่พรีเมียร์ลีกยังคงเต็มไปด้วยการแข่งขันอันดุเดือดและความไม่แน่นอน ทีมอย่าง เชลซี ที่ผ่านช่วงเวลายากลำบากหลังยุคเปลี่ยนผ่านของผู้จัดการทีมหลายคน กำลังกลับมาแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่สดใสอีกครั้ง และหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้แฟนบอลเริ่มเชื่อว่าพวกเขาอาจกลับไปยืนบนจุดสูงสุดได้อีกครั้ง คือผลงานอันโดดเด่นของ โรเบิร์ต ซานเชซ ผู้รักษาประตูชาวสเปนที่กลายเป็นหัวใจสำคัญของแนวรับในยุคใหม่ของทีมสิงห์บลู ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เชลซีผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งในด้านผู้จัดการทีม โครงสร้างบริหาร และขุมกำลังนักเตะ แต่สิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นจุดอ่อนที่สุดของทีมในช่วงก่อนหน้านี้คือ “ตำแหน่งผู้รักษาประตู” หลังจากเอดูอาร์ เมนดี้ และเกปา อาร์ริซาบาลาก้า ต่างไม่สามารถรักษามาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง สโมสรจึงตัดสินใจคว้าตัวโรเบิร์ต ซานเชซจากไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ด้วยค่าตัวราว 25 ล้านปอนด์ ซึ่งในตอนแรกแฟนบอลบางส่วนมองว่าเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยง เพราะซานเชซเพิ่งเสียตำแหน่งมือหนึ่งในทีมเก่าของเขา แต่เวลาไม่นาน ความสงสัยเหล่านั้นก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงชื่นชม ซานเชซเข้ามาเติมเต็มบทบาทในแนวรับของเชลซีอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เขาไม่เพียงเป็นผู้รักษาประตูที่มีปฏิกิริยาไวและเล่นบอลด้วยเท้าได้ดี แต่ยังกลายเป็นผู้นำในแดนหลังที่คอยสั่งการแนวรับให้มีระเบียบ เขาแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจและความนิ่งที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทีมที่ต้องการกลับมาลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ผลงานของซานเชซในฤดูกาลนี้ถือว่ายอดเยี่ยม เขามีสถิติการเซฟเฉลี่ยต่อเกมอยู่ในระดับสูงสุดของลีก และมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เชลซีเก็บคลีนชีตได้มากกว่าฤดูกาลก่อนเกือบเท่าตัว การยืนตำแหน่งของเขามีความแม่นยำ และเขาอ่านจังหวะการเล่นของคู่แข่งได้ดี ซึ่งทำให้ทีมมีความมั่นใจมากขึ้นในการเล่นเกมรุกโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแนวรับมากเกินไป สิ่งที่ทำให้ซานเชซแตกต่างจากผู้รักษาประตูทั่วไปคือ

บอร์นมัธ ต้องการค่าตัวของ เซเมนโย่ อย่างน้อย 75 ล้านปอนด์

ความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายนักเตะของพรีเมียร์ลีกเริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีรายงานว่า บอร์นมัธ สโมสรจากแดนใต้ของอังกฤษ ได้ตั้งค่าตัวของกองหน้าตัวเก่งอย่าง อองตวน เซเมนโย่ ไว้สูงถึง 75 ล้านปอนด์ หลังจากได้รับความสนใจจากหลายทีมระดับท็อปทั้งในอังกฤษและยุโรป โดยเฉพาะลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล และแอตเลติโก มาดริด ที่ต่างจับตามองฟอร์มของดาวเตะรายนี้อย่างใกล้ชิด การตั้งราคาสูงลิ่วของบอร์นมัธสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของเซเมนโย่ต่อทีม รวมถึงการยืนยันว่าพวกเขาไม่ต้องการปล่อยตัวนักเตะรายนี้ออกจากถิ่นไวทาลิตี้ สเตเดี้ยมในราคาถูก หลังเจ้าตัวกลายเป็นหัวใจสำคัญของเกมรุก และเป็นผู้เล่นที่มีอิทธิพลต่อผลงานโดยรวมของทีมอย่างมากในฤดูกาลที่ผ่านมา อองตวน เซเมนโย่ กองหน้าทีมชาติกานา วัย 24 ปี ย้ายมาร่วมทีมบอร์นมัธจากบริสตอล ซิตี้ เมื่อช่วงต้นปี 2023 ด้วยค่าตัวเพียง 10 ล้านปอนด์เท่านั้น ซึ่งในตอนนั้นหลายฝ่ายมองว่าเป็นการเสี่ยงของบอร์นมัธ เพราะเขายังไม่เคยพิสูจน์ตัวเองในระดับพรีเมียร์ลีกมาก่อน แต่เวลาเพียงไม่นาน เซเมนโย่กลับกลายเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่าที่สุดของสโมสร ด้วยฟอร์มการเล่นที่เฉียบคมและความมุ่งมั่นเกินอายุ เขาเป็นผู้เล่นที่มีสไตล์เฉพาะตัว ใช้ความแข็งแกร่งและความเร็วในการเจาะแนวรับคู่แข่ง สามารถเล่นได้ทั้งกองหน้าตัวเป้าและตัวริมเส้น ซึ่งทำให้เขาเป็นอาวุธอันตรายในทุกระบบการเล่น ภายใต้การคุมทีมของอันโดนี่ อิราโอล่า

อินเตอร์ มิลาน เป็นห่วงสภาพร่างกายของ เลาตาโร่ มาร์ตีเนซ

อินเตอร์ มิลาน แสดงความเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อสภาพร่างกายของ เลาตาโร่ มาร์ตีเนซ ศูนย์หน้ากัปตันทีมคนสำคัญ ที่ดูเหมือนจะมีอาการล้าสะสมและบาดเจ็บเล็กน้อยจากการลงสนามอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติอาร์เจนตินา การที่ดาวยิงวัย 28 ปีรายนี้ต้องรับภาระหนักในช่วงต้นฤดูกาล ทำให้สตาฟฟ์โค้ชและทีมแพทย์ของอินเตอร์เริ่มพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะต้องจัดการภาระงานของเขาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บรุนแรงในระยะยาว เลาตาโร่ มาร์ตีเนซ คือหัวใจสำคัญของเกมรุกอินเตอร์ในยุคปัจจุบัน เขาไม่เพียงทำหน้าที่เป็นกองหน้าตัวเป้า แต่ยังเป็นผู้นำทางจิตใจของทีมทั้งในและนอกสนาม นับตั้งแต่เขาได้รับปลอกแขนกัปตันในฤดูกาลก่อน ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์รายนี้ก็ยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้น เขายิงประตูได้อย่างสม่ำเสมอและมีบทบาทสำคัญในการพาอินเตอร์คว้าแชมป์เซเรีย อา เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ความสำเร็จนั้นก็มาพร้อมกับภาระที่หนักหน่วงขึ้นทุกวัน รายงานจากสื่ออิตาลีระบุว่า เลาตาโร่มีอาการตึงที่กล้ามเนื้อขาขวาและหัวเข่าด้านใน ซึ่งเกิดจากการใช้งานต่อเนื่องโดยแทบไม่ได้พัก เขาลงสนามไปแล้วมากกว่า 45 นัดในปีปฏิทินนี้ ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ รวมถึงการเดินทางข้ามทวีปเพื่อรับใช้ทีมชาติอาร์เจนตินาในศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งทำให้ร่างกายของเขาอ่อนล้ากว่าปกติ ซิโมเน่ อินซากี้ ผู้จัดการทีมของอินเตอร์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังเกมล่าสุดที่เสมอกับนาโปลีว่า “เลาตาโร่เป็นคนที่ไม่เคยบ่น ไม่เคยยอมแพ้ เขาลงสนามแม้จะมีอาการเจ็บเล็กน้อยเสมอ แต่เราต้องเริ่มคิดถึงการป้องกันระยะยาวมากขึ้น เพราะเขามีความสำคัญเกินกว่าจะเสี่ยง” คำพูดของอินซากี้สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวที่ซ่อนอยู่ในใจของโค้ชชาวอิตาเลียน ซึ่งรู้ดีว่าการเสียกัปตันทีมคนนี้ไปเพราะอาการบาดเจ็บอาจส่งผลกระทบมหาศาลต่อทิศทางของทีมในฤดูกาลนี้ เลาตาโร่ไม่เพียงเป็นดาวซัลโวประจำทีม

ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า เผยต้องการลงเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ฌอง-ฟิลิปป์ มาเตต้า ศูนย์หน้าชาวฝรั่งเศสของคริสตัล พาเลซ กลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกช่วงนี้ หลังเจ้าตัวออกมาเปิดใจถึงอนาคตในอาชีพค้าแข้ง โดยยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าฝันสูงสุดของเขาคือการได้ลงเล่นในรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คำพูดที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานนี้ ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมั่นใจและแรงผลักดันภายในของกองหน้าวัย 27 ปีรายนี้ ที่กำลังอยู่ในช่วงพีคของอาชีพ มาเตต้าให้สัมภาษณ์กับสื่อฝรั่งเศส โดยกล่าวว่า “ทุกคนต่างมีความฝันในเส้นทางของตัวเอง สำหรับผม การได้เล่นในแชมเปี้ยนส์ ลีกคือสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด ผมอยากสัมผัสบรรยากาศคืนนั้น อยากได้ยินเพลงธีมของรายการก่อนเริ่มเกม มันเป็นสิ่งที่นักเตะทุกคนใฝ่ฝัน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความจริงจัง คำพูดของมาเตต้าได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง เพราะตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มโดดเด่นที่สุดของคริสตัล พาเลซ เขาทำไปแล้วกว่า 14 ประตูในทุกรายการ และมีส่วนช่วยให้ทีมอยู่ในตำแหน่งกลางตารางอย่างมั่นคง ฟอร์มอันร้อนแรงของเขาทำให้หลายสโมสรใหญ่ในยุโรปเริ่มจับตามอง โดยเฉพาะทีมจากบุนเดสลีกาและลีกเอิง ที่เคยให้ความสนใจตั้งแต่ก่อนเจ้าตัวย้ายมาพรีเมียร์ลีก มาเตต้ากล่าวต่อว่า “ผมเคารพคริสตัล พาเลซและมีความสุขมากที่ได้อยู่ที่นี่ สโมสรให้โอกาสผมกลับมาสู่เส้นทางของตัวเองอีกครั้ง แต่ในฐานะนักฟุตบอลมืออาชีพ คุณย่อมมีเป้าหมายที่อยากไปให้ถึง และผมก็อยากลองท้าทายตัวเองในระดับที่สูงขึ้น” เขายืนยันว่าตอนนี้ยังมุ่งมั่นกับการช่วยทีมอย่างเต็มที่

แซร์ช นาบรี กับฟอร์มอันร้อนแรงในบาเยิร์น มิวนิค

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ชื่อของ แซร์ช นาบรี (Serge Gnabry) กลับมาเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนของวงการฟุตบอลเยอรมนีอีกครั้ง หลังจากที่ปีกตัวจี๊ดของ บาเยิร์น มิวนิค โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมลีกและฟุตบอลยุโรป ทำประตูสำคัญและมีส่วนร่วมในการสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่หายจากอาการบาดเจ็บยาวเมื่อฤดูกาลก่อน นาบรีกลับมาพร้อมความมั่นใจที่มากขึ้นกว่าเดิม เขาไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเร็วและทักษะการเลี้ยงบอลที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังพัฒนาความเฉียบคมในการจบสกอร์จนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่อันตรายที่สุดในยุโรป สำหรับบาเยิร์น มิวนิค การที่นาบรีกลับมาท็อปฟอร์มคือข่าวดีอย่างยิ่ง เพราะในช่วงเวลาที่ทีมกำลังต้องการความเฉียบขาดในเกมรุก เขาคือคนที่สามารถสร้างความแตกต่างได้จากทุกพื้นที่ในสนาม จากอาร์เซน่อลสู่บาเยิร์น มิวนิค: เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ก่อนจะมาถึงจุดนี้ แซร์ช นาบรีผ่านเส้นทางอาชีพที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและการพิสูจน์ตัวเอง เขาเริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลกับ อาร์เซน่อล ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ภายใต้การดูแลของ อาร์แซน เวนเกอร์ ซึ่งมองเห็นศักยภาพในตัวดาวรุ่งชาวเยอรมันตั้งแต่ยังอายุไม่ถึง 20 ปี อย่างไรก็ตาม การบาดเจ็บและการปรับตัวที่ยากลำบากในอังกฤษทำให้นาบรีไม่ได้รับโอกาสลงเล่นมากนัก เขาต้องย้ายไปเล่นให้เวสต์บรอมวิช อัลเบียนแบบยืมตัว แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความประทับใจได้มากนัก จนกระทั่งปี 2016 เขาตัดสินใจกลับบ้านเกิด

เดอ ย็อง กับความต่อเนื่องแห่งยุคสมัยในคัมป์นู

ชื่อของ เฟรงกี้ เดอ ย็อง (Frenkie de Jong) กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคใหม่ในทีมบาร์เซโลน่า — นักเตะที่รวมความสงบ ความมั่นใจ และสไตล์การเล่นที่เปี่ยมด้วยความเฉียบแหลม เขาคือ “กองกลางสมัยใหม่” ที่สามารถควบคุมจังหวะของเกมได้เหมือนจอมบงการบทละคร และล่าสุด ข่าวที่แฟนบอลอาซูลกราน่ารอคอยก็ดูเหมือนจะใกล้ความจริง — เมื่อรายงานจากสื่อหลายสำนักในสเปนยืนยันว่า เฟรงกี้ เดอ ย็อง วัย 28 ปี มีแนวโน้มจะขยายสัญญากับบาร์เซโลน่าออกไปจนถึงปี 2029 สำหรับสโมสรที่ยังอยู่ในช่วงการสร้างใหม่ภายใต้การคุมทีมของ ฮันซี่ ฟลิค (Hansi Flick) การได้มิดฟิลด์ระดับโลกอย่างเดอ ย็องอยู่ต่อคือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเขาไม่เพียงเป็นแกนกลางของทีมในเชิงแท็กติก แต่ยังเป็นหนึ่งใน “ผู้นำโดยธรรมชาติ” ที่ทั้งเพื่อนร่วมทีมและแฟนบอลให้ความเคารพ เส้นทางจากอาแจ็กซ์สู่คัมป์นู: จุดเริ่มต้นของมิดฟิลด์ที่เกิดมาเพื่อบาร์เซโลน่า ย้อนกลับไปในปี 2019 เดอ ย็องย้ายจากอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

จุดเริ่มต้นของค่ำคืนแห่งความผิดหวังที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์

ค่ำคืนที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งควรเป็นเวทีแห่งความหวังของแฟนบอลเชลซี กลับกลายเป็นหนึ่งในเกมที่น่าผิดหวังที่สุดของฤดูกาล เมื่อทัพ “สิงห์บลูส์” ภายใต้การคุมทีมของ เอนโซ่ มาร์เรสกา (Enzo Maresca) ต้องพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปอย่างเจ็บปวด 1-2 สิ่งที่ทำให้เกมนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากตั้งแต่ต้นคือ ใบแดงตั้งแต่นาทีที่ 12 ของกองหลังตัวหลัก ซึ่งทำให้เชลซีต้องเล่นด้วยผู้เล่นเพียง 10 คนตลอดเกือบทั้งเกม การเสียเปรียบเช่นนี้ไม่เพียงกระทบต่อแท็กติก แต่ยังส่งผลทางจิตใจต่อทั้งทีมอย่างรุนแรง มาร์เรสกาให้สัมภาษณ์หลังเกมด้วยน้ำเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า “ผมไม่อยากใช้คำว่าโชคร้าย แต่เมื่อคุณต้องเล่น 10 คนตั้งแต่ต้นเกม มันเปลี่ยนทุกอย่าง เราไม่สามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่ และนั่นคือสิ่งที่ต้องเรียนรู้” ประโยคนี้สะท้อนความจริงที่เจ็บปวดของฟุตบอลระดับสูง — เกมอาจถูกตัดสินตั้งแต่ต้น แม้คุณจะเตรียมแผนไว้อย่างดีที่สุดก็ตาม ใบแดงที่เปลี่ยนโฉมเกม: เมื่อแท็กติกต้องพังเพราะช่วงเวลาเดียว ใบแดงในนาทีที่ 12 มาจากการพลาดของแนวรับที่ต้องเข้าสกัดจังหวะหลุดเดี่ยวของกองหน้าปีศาจแดง การตัดสินใจนั้นอาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็แลกมาด้วยราคาที่แพงมหาศาล ในช่วงเวลานั้น

รูเบน อาโมริม กับการเริ่มต้นบทใหม่ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด

หลังจากการแต่งตั้ง รูเบน อาโมริม (Rúben Amorim) ขึ้นมารับตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แทนที่ยุคของเอริก เทน ฮาก สิ่งที่แฟนบอลทั่วโลกจับตามองมากที่สุดคือ ทัศนคติและแนวคิดการทำทีมของกุนซือชาวโปรตุเกสวัย 39 ปีอาโมริมถือเป็นหนึ่งในโค้ชรุ่นใหม่ที่มีแนวทางการทำทีมทันสมัย กล้าตัดสินใจ และมีเอกลักษณ์ในการสร้างทีมให้เล่นอย่างมีระบบระเบียบและเปี่ยมด้วยพลัง หลังเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสมอ เชลซี 1-1 ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “เราควรเป็นฝ่ายเก็บชัยชนะในเกมนี้ เราสร้างโอกาสได้มากพอ แต่ยังขาดความเฉียบคมในจังหวะสุดท้าย” คำพูดนี้สะท้อนความเป็น “ผู้นำที่ตรงไปตรงมา” และ “ไม่พอใจกับผลเสมอ” แม้จะเป็นเกมเยือนทีมใหญ่อย่างเชลซีก็ตามนี่คือสัญญาณสำคัญว่า อาโมริมต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด — ทีมที่ไม่เพียงเล่นเพื่อไม่แพ้ แต่ต้องเล่นเพื่อ “ชนะในทุกสนาม” รูปแบบการเล่นใหม่ของปีศาจแดง: พลังแห่งการเปลี่ยนผ่านและความยืดหยุ่น นับตั้งแต่เข้ามาคุมทีม อาโมริมได้เปลี่ยนโฉมระบบการเล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างเห็นได้ชัดเขานำแนวคิดจากสปอร์ติง ลิสบอนที่ประสบความสำเร็จในลีกโปรตุเกสมาปรับใช้